การคลังด้านรายรับ
แหล่งที่มาของเงินงบประมาณ
ตามปกติในแต่ละปีงบประมาณ รัฐบาลจะต้องกำหนดงบประมาณขึ้น 2 วงเงิน คือ งบประมาณรายรับและงบประมาณรายจ่าย การประมาณการงบประมาณรายรับเป็นสิ่งสำคัญ และมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จึงควรมีการกำหนดงบประมาณรายรับอย่างละเอียดและรอบคอบ โดยคำนึงตัวแปรหลาย ๆ อย่างประกอบ เช่น รายได้ประชาชาติ ระบบและเวลาของการจัดเก็บภาษีอากร ภาวะเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ฯลฯ สำหรับงบประมาณรายรับ มีแหล่งที่มา ๓ แหล่ง ดังนี้
1. รายได้ ประกอบด้วย
1.1 รายได้ที่เป็นภาษีอากร (TAX REVENUE) เป็นรายได้หลักที่สำคัญที่สุดของรัฐบาล ในแต่ละปี ประเด็นแรก รัฐจะต้องพิจารณาว่า การเก็บภาษีแต่ละชนิดนั้นจะก่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีอากรมากน้อยแค่ไหน และจะก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างไร ประเด็นที่สอง ความสามารถในการเสียภาษีของประชาชน(TAX CAPACITY) ประเด็นที่สาม ความพยายามในการจัดเก็บภาษี (TAX EFFORT) ของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม สามารถแบ่งรายได้ที่เกิดจากภาษีอากรตามลักษณะของการใช้จ่ายได้ ๒ ประเภท คือ
1.1.1 ภาษีอากรทั่วไป (GENERAL TAXES) หมายถึงภาษีอากรต่าง ๆ ที่รัฐบาลจัดเก็บ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ภาษีการค้า อากรขาเข้า อากรขาออก เป็นต้น รายได้จากการจัดเก็บภาษีอากรดังกล่าว รัฐบาลจะนำไปใช้จ่ายในกิจการใดก็ได้ ไม่มีข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้เงิน เช่น รัฐบาลอาจจะนำรายได้จากภาษี ที่เก็บได้ไปใช้จ่ายในด้านการป้องกันประเทศ หรือเพื่อลงทุนในทางเศรษฐกิจก็ได้
1.1.2 ภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง (EARMARKED TAXES) หมายถึง รายได้ที่จัดเก็บได้จากภาษีชนิดนั้นจะต้องนำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เท่านั้น รัฐบาลจะนำไปใช้จ่ายในกิจการอื่นไม่ได้ เช่น การจัดเก็บพรีเมียมข้าว แต่เดิมมีลักษณะเป็นภาษีอากรทั่วไป ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ เป็นต้นมา ได้มีกฎหมายว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ใช้บังคับ โดยกำหนดให้เงินค่าพรีเมียมที่เก็บได้จากข้าวและน้ำตาลที่ส่งออกนั้น จะต้องนำไปเข้าเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร และใช้จ่ายเงินดังกล่าวตามที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น เป็นต้น
1.2 รายได้ที่มิใช่ภาษีอากร (NONTAX REVENUE)
1.2.1 รายได้จากการประกอบธุรกิจของรัฐบาล ซึ่งอาจในรูปของ รัฐวิสาหกิจหรือในรูปของหน่วยงานอื่น ๆ รายได้ที่เกิดขึ้นในกรณีนี้ เป็นกรณีที่รัฐดำเนินการผลิตหรือจำหน่ายสินค้าและบริการต่าง ๆ แก่ประชาชนในทำนองเดียวกับการค้าของเอกชน ประชาชนจะซื้อสินค้าบริการด้วยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ส่วนที่ถือเป็นรายได้ของรัฐบาลนั้น ก็คือกำไรซึ่งเกิดจากการประกอบกิจการดังกล่าว โดยทั่วไปแล้วรัฐบาลจะเข้าไปประกอบธุรกิจเพื่อเหตุผลต่าง ๆ ดังนี้
1.2.1.1เพื่อดำเนินการผลิตสินค้าหรือบริการบางอย่างที่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น บริการสาธารณูปโภคต่าง ๆ เป็นต้น หรือกิจการบางอย่างที่ต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมาก และเอกชนไม่อยู่ในฐานะที่จะทำได้ เช่น การสร้างเขื่อนเพื่อผลิต ไฟฟ้าโดยใช้พลังน้ำ เป็นต้น
1.2.1.1เพื่อดำเนินการผลิตสินค้าหรือบริการบางอย่างที่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น บริการสาธารณูปโภคต่าง ๆ เป็นต้น หรือกิจการบางอย่างที่ต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมาก และเอกชนไม่อยู่ในฐานะที่จะทำได้ เช่น การสร้างเขื่อนเพื่อผลิต ไฟฟ้าโดยใช้พลังน้ำ เป็นต้น
1.2.1.2 เพื่อเป็นการให้สวัสดิการแก่ประชาชน โดยรัฐบาลเป็นผู้ผลิตสินค้า หรือบริการบางอย่างและขายให้แก่ประชาชนในราคาที่ต่ำ ซึ่งรัฐบาลไม่หวังที่จะเอากำไรหรือเอากำไรแต่น้อยในการดำเนินดังกล่าว เช่น การจัดบริการรถโดยสารประจำทาง หรือการสร้างอาคารสงเคราะห์ เป็นต้น
1.2.1.3 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการหารายได้ รัฐบาลอาจจะทำการผูกขาดการผลิตหรือจำหน่ายสินค้า และบริการบางอย่างเพื่อเป็นเครื่องมือในการหารายได้ของรัฐบาล เช่น การผูกขาดในการผลิตหรือจำหน่ายสุราและยาสูบ เป็นต้น
1.2.2 รายได้จากการบริหารงาน รายได้ประเภทนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับรายได้ที่เกิดจากการประกอบกิจการโดยรัฐ ได้แก่ ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต และค่าปรับ เป็นต้น ลักษณะการจัดเก็บรายได้มักจะเป็นไปตามหลักผลประโยชน์ (BENEFIT PRINCIPLE) ที่ผู้เสีย ค่าธรรมเนียมหรือค่าใบอนุญาตได้รับประโยชน์จากบริการบางอย่างโดยตรงจากรัฐบาล เช่นค่าธรรมเนียมหนังสือเดินทางไปต่างประเทศ หรือค่าใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ เป็นต้น สำหรับ ในกรณีค่าปรับ ผู้เสียค่าปรับมิได้เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ แต่ต้องเสียค่าปรับ เนื่องจากเป็นผู้ละเมิด กฎระเบียบ หรือกฎหมายของสังคม
1.2.3รายได้จากการบริจาค รายได้ประเภทนี้ ถือเป็นการให้เปล่าโดยสมัครใจของผู้ให้ซึ่งอาจเป็นการบริจาคของเอกชนในประเทศหรือต่างประเทศหรือการบริจาคของรัฐบาลต่างประเทศ เช่น การบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่โรงพยาบาล โรงเรียน หรือสถานที่ราชการของรัฐบาล เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ เป็นต้น
2. การกู้ยืมหรือการก่อหนี้สาธารณะในแต่ละปี หากรัฐบาลจัดเก็บรายได้หรือมีรายรับไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้จ่ายในกิจการต่าง ๆ ของรัฐบาลตามแผนงานและโครงการที่จำเป็นและก่อให้เกิดความก้าวหน้าของประเทศ รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องหาเงินมาใช้จ่าย อาจจะโดยการใช้วิธีกู้ยืมเงินจากประชาชน หรือกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ การกู้ยืมเงินหรือการก่อหนี้สาธารณะของรัฐบาลนั้น มิได้มีลักษณะเป็นรายได้ของรัฐบาล แต่มีลักษณะเป็นการ “ใช้จ่ายก่อนแล้วเก็บภาษี ทีหลัง”กล่าวคือ การกู้ยืมนั้น เป็นการกู้ยืมเพื่อที่จะนำเงินมาใช้จ่าย แต่เมื่อถึงเวลาชำระหนี้ รัฐบาลก็จะต้องนำรายได้จากการเก็บภาษีอากรจากประชาชนมาชำระหนี้ ดังนั้น ในการก่อหนี้สาธารณะของรัฐบาลแต่ละครั้ง รัฐบาลจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ คำนึงถึงความคุ้มค่า ความเหมาะสมหรือสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจ ตลอดจนภาระในการชำระหนี้ดังกล่าว
3. เงินคงคลัง คือเงินที่เก็บอยู่ในคลัง ซึ่งสะสมและได้มาจากหลายทาง อาทิ งบประมาณเหลือจ่ายจากปีงบประมาณก่อน จากการรับชำระหนี้คืน ฯล ซึ่งรัฐบาลมีสิทธินำออกมาใช้ได้ตามกฎหมายพระราชบัญญัติเงินคงคลัง แต่จะต้องไม่ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อสภาวะ การคลังและการเงินของประเทศ (ณรงค์ สัจพันโรจน์ ๒๕๓๖:๗๔)
สำหรับงบประมาณรายรับของประเทศไทย จะมีแหล่งที่มา 2 แหล่ง คือ แหล่งแรก ได้แก่ รายได้ซึ่งประกอบด้วย รายได้หลัก 4 ประเภท คือ รายได้จากภาษีอากรต่าง ๆ รายได้จากการขายสิ่งของและบริการ รายได้จากรัฐพาณิชย์ หรือรายได้จากรัฐวิสาหกิจและกิจการในเชิงพาณิชย์ของรัฐบาล และรายได้อื่น เช่น เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ และการบริจาคทรัพย์สินของประชาชน เป็นต้น แหล่งที่สอง ได้แก่ เงินกู้ โดยรัฐบาลสามารถกู้ยืมเงินจากแหล่งต่าง ๆ คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารพาณิชย์ทั่วไป และสมาคม มูลนิธิ เอกชน ซึ่งจะแสดงให้เห็นตัวอย่างตามตารางแสดงรายรับ ดังนี้